วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คนทำธุรกิจอย่างไร ขายดีแล้วไม่เจ๊ง...

คนค้าขายบางคน บางเจ้า ขายดีจนเจ๊ง... 
ไม่ได้ผิดหรอกครับ ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ ขายดี...จนกระทั่งธุรกิจเจ๊ง แล้วต้องปิดตัวลงแบบเจ้าตัวยังงงๆ กับชีวิตว่าเกิดอะไรขึ้น
     เหตุการณ์เช่นนี้ มักเกิดขึ้นกับ SMEs ในบ้านเรา ที่เริ่มต้นเติบโตมาจากระบบเจ้าของคนเดียว มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เอาความเชี่ยวชาญนั้นมาทำธุรกิจ จนประสบความสำเร็จ เจริญก้าวหน้า มีลูกค้ามากมาย
     แต่อยู่ๆ ก็เกิดอาการซวนเซ แล้วเจ๊งไปซะง่ายๆ มีเพื่อนรายหนึ่ง อยู่ในอาการที่ว่ามานี้ โชคดีที่มาถามก่อนเจ๊ง เพื่อนมาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ธุรกิจไปได้ดี ลูกค้ามากมาย ยอดขายแต่ละวัน...นับเงินเมื่อยมือ แต่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้ในธุรกิจ เหมือนเติมไม่เต็ม ตลอดหลายปีที่ทำธุรกิจมา
    ผมเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ว่า "เป็นเจ้าของกิจการมีเงินเดือน เดือนละเท่าไหร่?"
     เงียบ...แทนคำตอบ ก่อนที่จะถามกลับมาว่า ทำไมต้องมีเงินเดือน ในเมื่อเป็นเจ้าของอยู่แล้ว
     ผมถามคำถามที่สอง "แล้วเจ้าของใช้เงิน เดือนละเท่าไหร่?"
     ลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ไม่รู้ว่าเดือนละเท่าไหร่ เพราะจะใช้อะไรก็หยิบไปจากลิ้นชัก ไม่ได้จดไว้ว่าเท่าไหร่ อาศัยว่าถ้าเงินพอก็หยิบไปได้ ถ้าไม่พอ ก็รอให้เงินพอก่อน แล้วค่อยหยิบ
     ผมถามคำถามที่สาม "เงินที่หยิบจากลิ้นชักไป เอาไปซื้ออะไรบ้าง"
     คราวนี้สาธยายยาวเหยียด...ก็ซื้อทุกอย่าง กินข้าว ซื้อของเข้าบ้าน เลี้ยงสังสรรค์ ผ่อนรถ...ฯลฯ
     ผมสรุป..."นั่นแหละสาเหตุ"
     คนทำธุรกิจแบบโตมากับมือ ส่วนใหญ่เป็นแบบเพื่อนผมนี่แหละครับ ไม่เคยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง ไม่เคยจดว่าใช้เงินไปเท่าไหร่ และใช้ไปกับเรื่องอะไร ทั้งหลายทั้งปวงสรุปได้ 3 สาเหตุใหญ่ คือ
     สาเหตุประการแรก ไม่แยกแยะเงินของธุรกิจออกจากเงินส่วนตัว การที่ไม่ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองคือเจ้าของธุรกิจ และเป็นเจ้าของเงินทั้งหมดอยู่แล้ว จะใช้อย่างไรก็ได้ นั่นคือแนวคิดเริ่มต้นที่ผิด เพราะต้องมองให้ธุรกิจเป็นเหมือนบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่เรารับจ้างทำงานให้อยู่
     เวลาเราจ้างลูกจ้าง จ่ายเงินเดือนชัดเจน ใช้เกินกว่านั้นไม่ได้ แต่ตัวเราซึ่งรับจ้างธุรกิจที่เราก่อตั้งขึ้นมา กลับใช้เงินได้ไม่จำกัด ซึ่งส่งผลทำให้เงินที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนไม่คงที่ในแต่ละเดือน ขึ้นอยู่กับเราจะเมามันหยิบมาใช้มากน้อยแค่ไหน
     ดังนั้น ต้องตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง แล้วจ่ายเงินเดือนเมื่อสิ้นเดือนเหมือนพนักงานคนอื่นๆ แล้วต้องใช้เงินแค่นั้น ห้ามเกิน ถ้าเกิน ก็ห้ามหยิบมาจากลิ้นชักอีก ต้องไปหายืมคนอื่นเอาเอง ห้ามยืมจากลิ้นชัก ถ้าจะยืมจากลิ้นชักจริงๆ ก็ต้องจด แล้วนำมาคืนอย่างเคร่งครัด
     สาเหตุประการที่สอง ไม่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เมื่อจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองมาแล้ว ควรจะทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้ตัวเองด้วย คร่าวๆ ก็ได้ เอาพอรู้ว่า แต่ละวันจ่ายอะไรไปเท่าไหร่ เหลือเงินใช้ได้อีกเท่าไหร่ ไม่ใช่ใช้สนุกมือไปเรื่อย เพราะเห็นว่าธุรกิจขายดี
     ถ้าคิดว่าขายดี และเงินเดือนที่ตั้งให้ตัวเองไม่พอใช้ ขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองซะ จะขึ้นเท่าไหร่ไม่มีใครว่า แต่ควรเป็นตัวเลขที่มีเหตุผล และไม่ทำให้กระทบกับรายรับของธุรกิจ จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่กระทบ ต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของธุรกิจด้วย อันนี้ถ้าไม่ทำ...แย่เลยนะ ของส่วนตัวขี้เกียจทำ ใช้ระบบนับเงินที่เหลือในกระเป๋ายังพอได้ แต่ของธุรกิจ ไม่ทำบัญชี เดี๋ยวจะรวยแบบไม่รู้เรื่อง และเจ๊งแบบไม่รู้เรื่องเช่นกัน
     สาเหตุประการที่สาม ใช้เงินผิดประเภท เพื่อนผมเอาเงินที่หยิบจากลิ้นชักไปซื้อข้าวกิน ไปเลี้ยงสังสรรค์ ไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ไปผ่อนรถ...ฟังดูแล้ว ล้วนแต่เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น เรื่องส่วนตัวต้องใช้เงินส่วนตัว คือเงินเดือนของตัวเอง แต่เงินของธุรกิจ ควรจะจ่ายในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ชำระหนี้การค้า ซื้อวัตถุดิบ จ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง ฯลฯ อะไรก็ได้ ที่เกี่ยวกับธุรกิจ
     ตอนที่รับเงินจากลูกค้า ในเงินแต่ละก้อนที่ได้รับ ประกอบด้วย ต้นทุนของสินค้า ต้นทุนค่าดำเนินการ และกำไร อยู่ในนั้น แต่เวลาที่เราหยิบออกมาจ่าย เรากลับมองว่าวันนี้รับมาเท่าไหร่ โดยมองว่าเป็นรายรับล้วนๆ ไม่คิดจะแยกทุนแยกกำไรกันเลย พอเอาไปใช้ผิดประเภท เท่ากับว่าได้ใช้ทั้งกำไรและต้นทุนไปทั้งหมด ก็จะอยู่ในอาการ "ทุนหด...กำไรไม่เหลือ"
     อีกรายเป็นญาติของเพื่อน ขายไก่ย่าง ขายดิบขายดี เลี้ยงไก่เองด้วย เรียกว่าครบวงจร ขายดีจนย่างแทบไม่ทัน ออกมาเท่าไหร่ ขายหมด ขายจนเหนื่อย แต่ที่เหนื่อยกว่าคือ ขายไปพักใหญ่ ทำไมทุนหายกำไรหด ทุนหมดกำไรไม่เหลือ
     สาเหตุหลักไม่หนีกรณีเพื่อนผมครับ คือ 3 สาเหตุหลักนั้น เหมือนกันทุกประการ ไม่มีการตั้งเงินเดือนของคนทำงานแต่ละคน แต่รายนี้มีคนทำหลายคน ทำกันทั้งครอบครัว ไม่มีการทำบัญชีรับ-จ่าย เอาเงินไปใช้ผิดประเภท...ครบเครื่องเลย
     แต่สิ่งที่น่าใช้เป็นกรณีศึกษาเพิ่มเติมคือ รายนี้มีลักษณะของ 2 ธุรกิจ ที่เชื่อมโยงกันอยู่ อันหนึ่งเป็นเสมือนโรงงานผลิตวัตถุดิบ คือส่วนที่เป็นโรงเลี้ยงไก่ ที่มีลักษณะของธุรกิจแบบหนึ่ง อีกส่วนเป็นหน้าร้าน ที่นำวัตถุดิบมาแปรรูปเป็นไก่ย่างจำหน่าย ลักษณะของธุรกิจแตกต่างกันกับโรงเลี้ยง
     ถ้าคิดแบบไม่ซับซ้อน ให้เห็นภาพเข้าใจง่าย คิดเสียว่า ถ้าต้องไปซื้อไก่จากตลาดมาย่างขาย จะต้องจ่ายเงินค่าไก่ให้แม่ค้าอย่างไร ส่วนใหญ่ต้องจ่ายสดเป็นรายวัน ถ้าซื้อเยอะ เครดิตดีหน่อย อาจได้เครดิตในระยะสั้นๆ วัน สองวัน
     เช่นเดียวกัน ไก่ที่มาจากโรงเลี้ยงของเราเอง ก็ต้องจ่ายเงินสดให้เป็นรายวัน แม้เจ้าของจะคนเดียวกัน ก็ต้องแยกกระเป๋าเงินออกจากกัน กระเป๋านี้สำหรับโรงเลี้ยงไก่โดยเฉพาะ อีกกระเป๋าสำหรับร้านไก่ย่าง
     ยิ่งถ้าเป็นผัวเมียช่วยกันทำ น่าจะแยกให้ผัวเป็นซีอีโอของโรงเลี้ยงไก่ แล้วเมียเป็นซีอีโอของร้านไก่ย่าง ผัวก็รับเงินเดือนของโรงเลี้ยงไก่ไป ถ้าไปช่วยย่างไก่ด้วย ก็รับเงินอีกส่วนจากร้านไก่ย่าง เรียกว่าได้ค่าจ้างจาก 2 แหล่ง เพราะทำงาน 2 ที่ ขณะที่เมียย่างไก่อย่างเดียว ก็รับเงินเดือนที่เดียว ห้ามมายุ่งกับเงินของโรงเลี้ยงไก่
     การแบ่งแยกให้เกิดความชัดเจนเช่นนี้ จะทำให้การบริหารจัดการธุรกิจทำได้ง่ายขึ้น ถ้าพบว่าส่วนของโรงเลี้ยงไก่ไม่ทำเงิน เลี้ยงตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องแบกภาระ ยุบทิ้งไปซะ แล้วซื้อไก่จากตลาดมาทำไก่ย่างต่อไปได้ หรือถ้าธุรกิจไก่ย่างไม่ดี ก็เลี้ยงไก่อย่างเดียว เอาไปส่งขายคนอื่นแทน
     แต่กรณีของญาติเพื่อนนี้ เงินที่ขายไก่ย่างได้ถูกเก็บเข้ากระเป๋าทั้งหมด เอาไปใช้ซื้อของตามใจชอบ เพราะได้เงินเยอะเกินคาด...ไม่ใช่เกินคาดหรอกครับ เพียงแต่เงินที่ได้มา มีมูลค่าจากการขายไก่ย่างปะปนกับต้นทุนของไก่จากโรงเลี้ยง เลยดูว่าเงินเหลือเฟือ
     แล้วก็ต้องหาเงินมาเติมใส่โรงเลี้ยงไก่ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นยอดหนี้ที่ฝั่งโรงเลี้ยง แต่ฝั่งของหน้าร้านเงินสะพัด ใช้จ่ายกันได้มันมือ
     จากกรณีศึกษาทั้งคู่นี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่า อย่ารีบดีใจว่าขายได้เงินเยอะ ตราบใดที่ยังไม่ได้ทำบัญชีรับ-จ่าย ให้ชัดเจน ยังไม่ได้ตั้งเงินเดือนให้คนช่วยทำงานทุกคนอย่างชัดเจน บางคนอาจได้ค่าจ้างรายวัน บางคนรายสัปดาห์ บางคนรายเดือน บางคนเหมางานเป็นครั้ง ไม่แปลกที่จะมีวิธีจ่ายค่าจ้างแบบหลากหลาย แต่ต้องมีความชัดเจนว่าจะจ่ายคนละเท่าไหร่ แล้วห้ามมาหยิบเงินจากการขายไปใช้โดยพลการ
     ไม่เช่นนั้น ท่านอาจหนีไม่พ้นสถานการณ์ ขายดี...จนเจ๊ง...

7 นิสัยพึงมีถ้าอยากรวย


จากงานวิจัยบันลือโลกที่จัดทำโดย โธมัส สแตนลีย์ ผู้สัมภาษณ์ "เศรษฐีข้างบ้าน" มาแล้ว 1,100 คน พบว่า "คนที่รวยจริงๆ"อาจมีวิธีสร้างตัวต่างกัน แต่กลับมีคุณลักษณะเหมือนกัน

7 ประการต่อไปนี้

1) เลือกอาชีพที่ "ใช่"
"เจ้าของเงินล้าน" อาจมีอาชีพหลากหลาย แต่สำคัญมันต้องเป็นอาชพีที่ "ใช่" สำหรับเขาเท่านั้น
จริงอยู่ที่ผู้ประกอบการมีโอกาสเป็น "เจ้าของเงินล้าน" เร็วกว่าคนทั่วไป 4 เท่า แต่กระนั้นก็ไม่พบว่า
มีธุรกิจประเภทหนึ่งประเภทใดที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าประเภทอื่นๆ สรุปว่าความร่ำรวยมา
จากลักษณะนิสัยของพวกเขา มากกว่าประเภทธุรกิจที่เลือกทำ

2) มุ่งสร้างตัวด้วยสองมือเปล่า ไม่สนใจมรดกหรือการสนับสนุนจากพ่อแม่
80% ของ "เจ้าของเงินล้าน" สร้างเงินล้านด้วยมือเขาเองล้วนๆน้อยคนที่จะพี่งพาพ่อแม่หรือ
เฝ้ารอมรดกยิ่งเริ่มต้นจากมือเปล่า พวกเขาก็ยิ่งแกร่ง ส่วนใหญ่สามารถยืนได้บนลำแข้ง
ของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย

3) ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการวางแผนสร้างตัว
"เจ้าของเงินล้าน" มักใช้เวลาเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมงต่อเดือนกับการวางแผนชีวิต
ขณะที่คนทั่วไปใช้เวลาคิดแต่เรื่องหา..........ความสุข
4) ให้ความสำคัญกับอิสรภาพทางการเงินมากกว่าสถานะทางสังคม
"เจ้าของเงินล้าน" ตัวจริงชอบใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลาง อยู่ในบ้านขนาดพอสบาย ขับรถยี่ห้อ
ทั่วๆไปที่ใช้งานได้ดี พวกเขาไม่ชอบแข่งขันเอาหน้ากับใคร จึงไม่ต้องมีหนี้ก้อนใหญ่ไว้
คอยฉุดดึงชีวิต
5) ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล
คนส่วนใหญ่ถึงทำงานหนัก กระเป๋าหนัก แต่มักใช้จ่ายหนักด้วย จึงรวยไม่สำเร็จ ตรงกันข้ามกับ
"เจ้าของเงินล้าน" ที่ทั้งทำงานหนัก กระเป๋าหนัก แต่คิดหนักด้วยเมื่อใช้จ่ายเปรียบคนทั่วไป
เป็นนักฟุตบอลกองหน้าที่มุ่งแต่จะทำเกม จนเสียประตู แต่คนรวยพวกนี้ให้ความสำคัญกับ
การรักษาประตูเท่า ๆ กับการทำเกม

6) มุ่งมองหาสิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ
"เจ้าของเงินล้าน" ไม่ชอบลงทุนกับสิ่งไร้สาระ แต่จะลงทุนกับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะทำให้เขา
ร่ำรวยขึ้น พวกเขาสนใจเรื่องหลากหลาย ตลาดใหม่ๆ ซอฟท์แวร์ดีๆ คำแนะนำเรื่องภาษี
กฎหมาย เทคโนโลยี ข่าวสาร การศึกษา ฯลฯ สิ่งใดที่ทำให้ชีวิตเขาพัฒนา
เขาก็พร้อมจะลงทุนกับมัน

7) สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกหลานพึ่งพาตัวเอง
อย่าให้ลูกหลานมาผลาญเงินเราได้ ต้องสอนให้ลูกหลานหัดทำมาหากินด้วยลำแข้งตัวเอง

มาดูเคล็ดลับของคนรวย

อยากรวยทำไงดี... เชื่อว่าคงเป็นคำถามใครต่อใครก็ต้องการคำตอบ ก็แหม... จะมีซักกี่คนที่ไม่อยากรวย (จริงป่ะ) ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนก็ใช่ว่าจะเกิดมาบนกองเงินกองทอง คาบช้อนเงินช้อนทองออกมาตั้งแต่แบเบาะ แต่ความสำเร็จในการหาเงิน เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสร้างได้เสมอ สำคัญว่าจะต้องค้นพบตนเอง และดึงเอาศักยภาพของตนออกมาใช้ให้ได้เท่านั้น...

วันนี้เราจึงหยิบเอา 5 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณรวยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งเป็นเคล็ดลับของ "อาจารย์บุญส่ง" เจ้าอาวาสวัดถาวรวราราม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สงฆ์อนัมนิกาย หลังจากท่านศึกษาศาสตร์ตะวันออกอย่างฮวงจุ้ย แล้วนำมาประยุกต์ชี้ทางรวยให้คนได้เป็นเศรษฐีมาแล้วมากต่อมาก…

1. วางเป้าหมาย อาจารย์บุญส่ง กล่าวว่า คนจะประสบความสำเร็จได้ สิ่งแรกต้องทำ คือการตั้งเป้าหมายแล้วเดินไปสู่เป้าหมายนั้น การตั้งเป้าหมายจะทำให้เกิดการวางแผน การดำเนินงานที่ชัดเจน มีการวางกรอบเวลาที่แน่นอน หากวางเป้าหมายผิดพลาด ทุกอย่างก็จะผิดพลาดคลาดเป้าไปด้วย เช่น ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟมือ 1 ของโลก ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่เงินรางวัล แต่เป้าหมายของเขาอยู่ที่ทำอย่างไรถึงจะเป็นที่ 1 ในกีฬากอล์ฟ เขาฝึกฝนอย่างหนัก ในที่สุดก็ครองมือหนึ่งของโลก จากนั้นเงินก็ไหลมาเทมาอัตโนมัต

2. ฉลาดเลือก
ต้องรู้จักเลือกสิ่งดีๆ ให้ตนเอง สมมติมีงานชิ้นหนึ่งจะต้องทำ ซึ่งไม่ทำไม่ได้ แต่งานชิ้นนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเกิดรายได้เพียงน้อยนิด ถ้าเช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมอบหมายให้คนอื่น (ที่มีรายได้ต่อนาทีที่ต่ำกว่าเรา) ไปดำเนินการแทน ด้วยวิธีนี้เราไม่ต้องเสียเวลากับงานชิ้นนั้น และงานชิ้นนั้นก็ไม่เสียด้วย อย่างนี้คือการฉลาดเลือก

3. เพิ่มผลผลิตของเวลา
ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดคือเวลา ใน 1 วัน เราทำงานกี่ชั่วโมง นำวันทำงานทั้งหมดมาคิดเป็นจำนวนกี่ชั่วโมง กี่นาที แล้วเอาจำนวนนาทีทั้งหมดไปหารายได้ทั้งปี นี่คือการหาค่าของนาทีว่า นาทีหนึ่งของเรามีค่าเท่าไหร่ จากนั้นก็ไปเพิ่มผลผลิตของเวลา การเพิ่มผลผลิตของเวลา เช่น วันหนึ่งอ่านหนังสือได้ 50 หน้า และถ้าในหนึ่งวันเราอ่านหนังสือได้มากกว่า 100 หน้า อันนี้เรียกว่าการเพิ่มผลผลิตของเวลา ถ้าเพิ่มผลผลิตได้สูง เราก็พัฒนางานของเราได้สูง ที่สำคัญคือเราได้พัฒนาตัวเราเองด้วย

4. ชีวิต (ต้อง) ลิขิตเอง
การที่คนไม่ให้ความสำคัญกับตัวเอง แล้วปล่อยเวลาให้เป็นไปตามยถากรรม แต่พอเกิดปัญหาขึ้นมาก็โทษดวงชะตา โทษฟ้าลิขิต ซึ่งเป็นข้ออ้างและเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ไม่พัฒนาตัวเอง ถ้าจะดูความสำเร็จของคน ต้องดูจากสมุดบันทึกของเขา เช่น "เสี่ยจิ้น" เจ้าของโรงแรมแม่น้ำ เขาเดินทางจากเมืองจีนมาอยู่เมืองไทย เริ่มอาชีพด้วยการหาของเก่าขาย พอมีเงินก็ประกอบกิจการค้าไม้ เปิดโรงแรมเป็นโรงแรมเล็กๆ จากนั้นขยับขยายจนมีเป็นเจ้าของโรงแรมแม่น้ำ เสี่ยจิ้นมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เริ่มงานใดแล้วสู้ไม่ถอย จนประสบความสำเร็จ

5. กล้าเปลี่ยนแปลง
การที่เสี่ยจิ้นประสบความสำเร็จก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของโรงแรมแม่น้ำได้ เพราะเขาไม่ยอมหยุดกับสิ่งเดิมๆ เมื่อเห็นว่ามีโอกาสเขาก็กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องแสดงความกล้าออกมา 5 เรื่องใหญ่ที่ควรเปลี่ยนมีดังนี้ ความคิด,พฤติกรรม,ที่อยู่อาศัย, สถานประกอบการ และสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ศาสตร์อย่างฮวงจุ้ย ประยุกต์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี

มีวิธีการที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เหล่าเศรษฐีทั้งหลายใช้ได้ผลมาแล้ว จงศึกษาวิธีเหล่านี้คงไม่ใช่เรื่องเสียหาย และเชื่อว่าถ้าไม่ดีจริงเขาคงไม่ประสบความสำเร็จเช่นนี้

ข้อมูลจาก Today

  1. คลิก http://topup2richteam.com/?id=13245575

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คุณพร้อมที่จะลงมือทำ อย่างจริงยังหรือยัง


"เรามีคุณสมบัติเพียงพอไหมที่จะทำธุรกิจให้สำเร็จ"

คุณเป็นคนหนึ่งที่มีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ :  ใช่
คุณเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้  ยอมหักไม่ยอมงอ  ถ้าความคิดคุณถูก : ใช่
คุณกล้าล้มเหลว :ใช่
คุณเชื่อว่าความล้มเหลวเป็นบันไดแห่งความสำเร็จ  แต่คุณชอบความสำเร็จมากกว่า :ใช่
คุณไม่เชื่อพวกที่ทำธุรกิจเจ๊งแล้วพยายามมาพูดให้คุณกลัว : ใช่
คุณเชื่อว่าสิ่งที่ดีที่สุดยังไม่มีคนทำขึ้นมา : ใช่
คุณเชื่อว่าการบริหารคนไม่กี่คนแล้วได้กำไรงามดีกว่าได้บริหารในบริษัทใหญ่โตแต่ขาดทุน : ใช่
คุณเชื่อว่าคุณทำได้แน่นอน  เพียงแต่ยังไม่ได้ลงมือทำเท่านั้น : ใช่
คุณเชื่อว่าธุรกิจที่คุณเห็น คุณทำได้ดีกว่านี้ : ใช่
คุณมีความฝันใหญ่เสมอ : ใช่
คุณเชื่อว่าถ้ามัวแต่ฝันไม่ได้ลงมือทำ ก็จะกลายเป็นพวกเพ้อเจ้อ : ใช่

เพียงคุณตอบว่า : ใช่ เพียงข้อเดียว แสดงว่าคุณมีคุณสมบัติพอแล้วที่จะทำธุรกิจขนาดเล็ก ลงทุนน้อยให้สำเร็จ  


สำหรับคุณสมบัติข้ออื่น เราไปหาเอาทีหลังก็ได้ ยังมีเวลาอีกเยอะ  ลงมือทำไปก่อนแล้วเรียนรู้ระหว่างทาง Learning by Doing

คนที่ไปไม่ถึงไหนในชีวิตก็เพราะมัวแต่ไปกลัวนั่นกลัวนี่  รอให้พร้อมอย่างนั้นอย่างนี้  รับรองว่าไม่ได้ลงมือทำเสียที กำลังใจหรือไฟที่กำลังลุกโชนก็จะลดหายลงไปทุกวันๆ  จนกลายเป็นฝันลมๆแล้งๆ

ขอให้เริ่มแบบทีละเล็กทีละน้อยหลังเวลางานก็ได้ 
(หรือในเวลางานก็ได้ถ้าเจ้านายคุณไม่ว่า ) จนธุรกิจที่ทำ
จากเล็กๆ ใหญ่ขึ้นๆ จนคุณก็ไม่ต้องไปทำงานประจำอีกแล้ว 
หันมาทุ่มเทกับธุรกิจที่คุณสร้างขึ้นมา

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แผนการตลาด

  


จากตาราง มาชิกเกิดขึ้นใต้สายงานเราทั้งหมดทั้งที่เราแนะนำเอง หรือคนอื่นแนะนำ นำมาคำนวนทุกรหัส
ทุกวันหากสมมุติว่าทีมงานเรา 1 แตก 2 ทำได้ภายใน 7 วัน ใช้เวลาเพียง 42 วัน ก็จะเริ่มมีรายได้วันละ 4,200 บาท
(ในรายได้ทางที่2 ) แต่บางคน 1 แตก 2 ใช้เวลาน้อยกว่านั้น ก็จะสำเร็จอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วัน
 (และยังมีรายได้ทางที่ 1 และทางที่ 3 อีกจำนวนมาก ผู้นำที่ขยันทำงานมากๆ ควรซื้อรหัส 3 รหัสขึ้นไป
เพื่อให้รับรายได้มากกว่า วันละ 12,600 บาท(4,200x3)
. 
การที่จะซื้อรหัสแฟรนไซส์ 1,3,7 หรือ 15 รหัส  ให้พิจารณา 2 ส่วนดังนี้  
       1.ตามความเป็นจริงในการใช้โทรศัพท์มากน้อยเท่าไหร่ เช่น 1 เดือนเราใช้ 300 บาท ก็ควรลง 3 รหัส
       เพราะหากเติมเงินสะสมครบ 300 ภายใน 1 เดือน ก็ถือว่าเราได้รักษายอดแล้ว (ใช้เบอร์เดียว)
       2. การตั้งใจหรือความขยันขยายแฟรนไซส์ หากเพิ่มรหัสแล้วเพิ่มความขยัน รายได้ก็จะเพิ่มหลายเท่าตัว
      เพราะรายได้ ทางที่ 2 จ่ายสูงสุดได้ต่อวัน 1 รหัส เท่ากับ 4,200 บาท หากเราลง 1 รหัส เมื่อสมาชิกเกิดขึ้น
       ใต้สายงาน ซ้าย 30 รหัส ขวา 30 รหัสต่อวัน  เราก็จะถึงจุดสูงสุดในการจ่ายรายได้ทางที่ 2 หากอนาคต
      สมาชิกใต้สายงานเราขยายมากกว่านี้ เราก็จะขาดโอกาสและการขึ้นตำแหน่ง บริษัทจะดูจากรายได้ต่อเดือน
    ของสมาชิก การทำหลายรหัสรายได้มุ่งสู่คุณทั้งหมด คุณก็จะขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างรวดเร็ว รายได้ทางที่ 1 และ
    ทางที่ 2 จะได้รับเมื่อเราต้องแนะนำ ซ้าย 1 ขวา 1 (แนะนำตัวเองได้) จะอยู่ชั้นไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องติดตัว
    (คะแนนข้างแข็งจะเก็บไว้ให้ตลอดแต่ใต้สายงานฝั่งแข็งของคุณต้องมีผู้แนะนำอย่างน้อย 1 คน)



















เอกสารสำคัญ













บริษัท ท๊อปอัพ ทู ริช จำกัด
เปิดบริการทุกวัน เวลา 9.00 - 21.00 น.

173 ซอยจันทน์ 43 แยก 13  ถนนจันทน์   แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพ 10120

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เกี่ยวกับบริษัท TOPUP2RICH



Topup2Rich สุดยอดธุรกิจที่ถูกออกแบบจากประสบการณ์จริง แก้ไขจุดอ่อน เพิ่มเติมจุดแข็ง
พร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำที่รองรับสมาชิกได้นับ 100 ล้านรหัสทั่วโลก

     Topup2Rich
 สุดยอดธุรกิจที่ถูกออกแบบจากประสบการณ์จริง แก้ไขจุดอ่อน เพิ่มเติมจุดแข็ง
พร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำที่รองรับสมาชิกได้นับ 100 ล้านรหัสทั่วโลก
      ตัวสินค้าของ Topup2Rich คือ บริการเติมเงินครับ ส่วนแผนการตลาด Topup2Rich ทำการแก้จุดอ่อนจากแผนแบบเดิมที่เป็นเมทรกซึ่งรับผลประโยชน์จำกัดแค่ 10 ชั้น รวมถึงโบนัสรางวัลที่ต้องเติมเต็มชั้นซึ่งโอกาสที่จะเต็มนั้นไม่ง่ายครับ แผนของTopup2Rich จึงพัฒนาขึ้นมาเป็นแบบไบนารี่เพื่อที่จะทำให้ได้รับผลปรโยชน์แบบไม่จำกัดชั้น รวมทั้งไม่ต้องมาคอยว่าจะเต็มชั้นเมื่อไหร่ แผนเราจ่ายออกหมดเลยครับ
  ประธานบริษัท  Topup2Rich
  คุณศรวัสย์ ไพศาลศรวัส (เคน)
   "ผู้นำที่ดีจะคิดอยู่ตลอดทุกลมหายใจว่าจะนำพา  องค์กรให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร เมื่อเดินมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพื่อระบบที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน แต่ขอให้ทุกท่านสังเกตถึงจุดยืนและแนวคิดทางธุรกิจ ว่าไม่ได้เปลี่ยนไป ผมไม่ได้มาชวนทำธุรกิจที่ขายสินค้า เพียงแต่ต้องสร้างธุรกิจที่สามารถรองรับผู้คนได้จริง นี่จึงเป็นจุดกำเนิดของ Topup2rich ธุรกิจที่จะทำให้ทุกคนสำเร็จได้จริง"

       คุณศรวัสย์ ไพศาลศรวัส (เคน) เคยทำธุรกิจ เครือข่าย จนเป็นเบอร์ 1 ของบริษัท มาหลายค่าย มีความคิดเห็นว่า สำหรับการต่อสายงานแบบ AUTORUN นั้น ถ้าเราดูกันตาม "สถิติความเป็นจริง" แล้ว ยังไม่มีธุรกิจใดที่เปิดแล้วให้วางสายงานแบบ AUTO Run หรือว่า ต่ออัตโนมัติโดยไม่ต้องแนะนำใคร แล้วอยู่รอดเลย แต่นักธุรกิจหลายคนก็รู้ว่า "โอกาสแรกๆคุ้มค่า" เพราะว่าการต่อสายงานแรกๆ ของระบบ AUTO RUN นั้นจะเป็นไปด้วยความเร็ว เพราะว่า หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วให้รอคนมาต่อ ซึ่งถ้า 100 คน คิดแบบนี้ ก็จะได้คนไม่ทำงาน 100 คน มารวมกัน ในขณะที่คนทำงานมีเพียง 10-20 คน แล้วกว่าจะเต็มชั้นได้ก็ย้ำแย่
       เห็นได้ว่าการต่อ AUTO RUN นั้น ยิ่งชั้นล่างๆ หรือมีลำดับเลข 100+ จะยิ่งหาคนมาต่อยากมาก เพราะข้างบนก็ไม่ทำงานรอคนมาต่อ ในขณะที่ข้างล่าง ก็มาเพราะอยากให้คนมาต่อเหมือนกัน ทำให้ระบบ AUTO RUN ไม่ประสบความสำเร็จ
      อีกประการหนึ่ง การต่อสายงานแบบ Autorun มันจะไม่มีสายสัมพันธ์เกิดขึ้น คือ เราจะไม่รู้จักคนๆ นั้นเขาเป็นใคร หัวใจหลักของธุรกิจเครือข่ายคือ สายสัมพันธ์ที่ดี เราต้องรู้จักกัน มีอะไรก็คอยช่วยเหลือแบ่งปันข้อมูล เราลองคิดดูนะครับ ถ้าวันนี้เราไม่มีสายสัมพันธ์กันในองค์กรเลย สิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็จะหลุดจากเราได้ง่ายๆ เพราะว่าเราไม่รู้จักกัน ไม่มี "กาวใจ" ยึดเหนี่ยวกันไว้ซึ่งกันและกัน วันนี้เรามาสร้างธุรกิจที่จะสามารถสร้างรายได้แบบไม่ต้องทำงาน หรือ Passive ได้ ไม่ใช่งานที่ได้รายได้เสริม ดังนั้น ธุรกิจต้องมีความละเอียดให้มากในการวางสายงานครับ
     เมื่อถามถึงเป้าหมายที่วางไว้ในขณะนี้ คุณศรวัลย์ กล่าวว่า ภายในระยะเวลาไม่นานTop up 2Rich จะเป็นที่รู้จักของผู้คนที่ใช้มือถือกันอย่างกว้างขวาง
      เนื่องจากตระหนักดีว่าธุรกิจเครือข่ายมือถือมีส่วนแบ่งของ ตลาดสูงมาก จึงเปิดโอกาสให้คนไทยได้ส่วนแบ่งการตลาดนี้ด้วย โดยเริ่มต้นสินค้าชิ้นแรกเป็นการเติมเงินผ่านมือถือก่อน และต่อไปจะมีสินค้าอื่นๆ ตามมาให้พวกเราทำการตลาดกันอีกมากมาย พร้อมกับวิสัยทัศน์ในการเปิดตลาดต่างประเทศ เพื่อให้พวกเราได้ไปบุกตลาดต่างประเทศกัน เมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมาถึงในอีก 3 ปีข้างหน้า
      "ผมเป็นคนที่เปิดใจที่จะรับฟังและเรียนรู้ทุกอย่างนะครับ แต่ผมก็มีจุดยืนในการพิจารณาในแต่ละธุรกิจ ผมจะคิดลบสุดๆก่อน และถ้าผมได้รับคำอธิบาย ที่สามารถทำให้ผมคิดบวกกลับมาได้ ผมก็ยินดีที่จะร่วมทำธุรกิจนั้น ดังนั้นใครที่คุยกับผมจะดูเหมือนผมจับผิด แต่ที่จริงมันไม่ใช่หรอกครับเพราะถ้าธุรกิจนั้นมันเป็นธุรกิจที่ดีจริงยังไงทองก็ยังคงเป็นทองอยู่วันยังค่ำครับและถ้าคุณตอบคำถามไม่เคลียร์แสดงว่าคุณเองยังไม่ใช่มืออาชีพเป็นเรื่องที่น่าเศร้าครับ สำหรับสังคมที่เสื่อมโทรมแห่งนี้จริยธรรมในจิตใจของผู้คนมันหายไปไหนหมดรู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำและกำลังจะชวนเชิญผู้อื่นไปทำนั้นมันเป็นสิ่งที่ผิดต่อกฏหมาย ผิดศีลธรรมแต่เพียงเพราะความโลภ และไร้สติกลับทำได้โดยไร้ซึ่งจิตสำนึก น่าเศร้าจริงๆและเมื่อใดที่ความเสียหายได้เกิดขึ้นในวงกว้าง
กับแสร้งทำตัวเองเป็นเหยื่อที่โดนหลอกเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเองใครที่กำลังเดินทางในทางที่ผิดควรที่จะสำนึกและกลับตัวใหม่ซะเพื่อให้สังคมได้กลับมาเป็นสังคมที่ดีและน่าอยู่ต่อไปเพื่อเตือนสติให้กับสมาชิกที่ยังมองไม่ออกว่าอะไรคือธุรกิจอะไรคือแชร์ลูกโซ่เดี๊ยวนี้มันมีกลยุทธ์ที่พัฒนาไปไกลครับเค้าไม่หลอกให้ลงทุนเยอะๆแล้วพราะการหลอกให้คนลงทุนเยอะๆเวลาเป็นข่าวเรื่องมันดังเค้าหลอกให้คนลงทุนน้อยๆ แบบไม่เกิน 100 บาทอ่อ เพราะไม่มีสินค้าอะไรเลยก็ไม่มีต้นทุนแค่เขียนเว็บขึ้นมาแล้วบอกรับสมาชิกและให้สมาชิกหาลูกแชร์ต่อๆกันไป ด้วยหลักจิตวิทยาที่ว่าลงทุนหลักสิบ ได้เงินหลักแสน คนส่วนมากก็โลภและหวังรวยก็รีบลงกันเลยครับ แรกๆก็จ่ายผลประโยชน์มาให้เห็นเพื่อให้สมาชิกกลุ่มแรกๆเอามาโชว์ ว่าได้เงินง่ายจากนั้นก็เกิดระบวนการล่อแมงเม่าให้บินเข้ากองไฟครับคนคิดว่าเสียเงินไม่กี่สิบบาท ถึงโดนหลอกก็ไม่รู้สึกอะไรแต่นี่แหละครับคือจุดประสงค์ของธุรกิจพวกนี้เพราะมันรู้ว่าเงินแค่ ไม่กี่สิบบาทคงไม่มีใครวิ่งโร่ไปแจ้งความเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายหรอกครับสุดท้ายบริษัทพวกนี้ก็ปิดตัว เก็บเงินไปหลายสิบล้านแล้วก็เริ่มไปเปิดตัวใหม่ ปั่นไปเรื่อยๆครับ ผมเห็นแล้วสลดใจครับ"
วันนี้ ไม่ว่าคุณจะใช้มือถือเครือข่ายไหน ระบบไหน
คุณก็สามารถที่จะรวยได้ด้วยสุดยอดเทคโนโลยี
ผสานกับแนวคิดทางการตลาดที่ลงตัว
ที่สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้กับคุณ
นี่ไม่ใช่รายได้เสริม เล็กๆน้อยๆ
ที่จะทำให้คุณต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
แต่นี่จะเป็นรายได้มากกว่ารายได้หลักที่ท่านเคยได้รับ
พิสูจน์ด้วยตัวคุณเองครับ
บริษัท ท๊อปอัพ ทู ริช จำกัด
เปิดบริการทุกวัน
เวลา 9.00 - 21.00 น.
บรรยายแผนการตลาดวันละ 3 รอบ
รอบที่ 1 เวลา 11.00 - 12.00 น.
รอบที่ 2 เวลา 14.00 - 15.00 น.
รอบที่ 3 เวลา 19.00 - 20.00 น.
เริ่มบรรยายแผน
วันพฤหัสที่ 23 สิงหาคม 2555 แล้วพบกันนะครับ